ในยุคโบราณมนุษย์ค้นหาความจริงด้วยวิธีที่ยังไม่มีระเบียบแบบแผน ไม่ได้คำนึงถึงเหตุและผล เช่น เมื่อเกิดปัญหาหรือ มีข้อสงสัยก็ไปหาหมอดู หมอผี ไปถามนักปราชญ์ ใช้ประสบการณ์ตัวเอง ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ปฏิบัติตามจารีตประเพณี หรือได้ความรู้มาโดยบังเอิญ
ไอแซกนิวตัน ได้ความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงโดยบังเอิญ
คนไทยรู้จักการไหว้จากการปฏิบัติตามประเพณี
ชาวนาได้ความรู้เกี่ยวกับฤดูทำนาจากประสบการณ์
สมัยโบราณมนุษย์มักถามปัญหาข้อสงสัยจากหมอดู
ในระยะต่อมามนุษย์พบว่าวิธีการดังกล่าวไม่ได้ความจริงที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาได้เสมอไป จึงเริ่มพัฒนาวิธีการค้นหาความรู้ความจริงโดยนำหลักเหตุผลมาใช้ เช่น วิธีอนุมานของอริสโตเติ้ล โดยค้นหาความจริงจากเหตุใหญ่ไปสู่เหตุย่อย เช่น
เหตุใหญ่ : ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย
เหตุย่อย : ต้อมเป็นคน
สรุป : ต้อมต้องตาย
เหตุใหญ่ : ถ้านักเรียนไม่ส่งการบ้านครูจะทำโทษ
เหตุย่อย : ลัดดาไม่ส่งการบ้าน
สรุป : ลัดดาต้องถูกทำโทษ
วิธีอุปมานของฟรานซิสเบคอน โดยค้นหาความจริงจากเหตุย่อยไปสู่เหตุใหญ่ เช่น
เก็บข้อมูล : โดยสังเกตว่ามนุษย์เกิดมาแล้วต้องตาย
วิเคราะห์ข้อมูล : สังเกตว่าเป็นเช่นนั้นทุกครั้ง
สรุป :มนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย
แต่การค้นหาความรู้ความจริงยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่จนกระทั่งปัจจุบันมนุษย์พบว่าวิธีการค้นหาความรู้ความจริง ที่มีเหตุผลน่าเชื่อถือมากที่สุด คือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ของชาร์ล ดาวิน ซึ่งมี 5 ขั้น คือ
1. ขั้นปัญหา
2.ขั้นตังสมมุติฐาน
3. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล
4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล
5. ขั้นสรุปผล
จากวิวัฒนาการของการหาความรู้ความจริงของมนุษย์ จะเห็นว่ามนุษย์พยายามแสวงหาวิธีค้นหาความรู้ความจริงที่ดีที่สุด และในที่สุดได้ค้นพบว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีการที่จะทำให้ได้ความรู้ความจริงที่เชื่อถือได้มากที่สุด เพราะเป็นวิธีการที่ใช้เหตุผลขั้นสูง มีแบบแผน และมีขั้นตอนที่ต่อเนื่องกันอย่างเป็นระบบ มนุษย์จึงได้นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้เป็นกระบวนการของการทำวิจัยในทุกสาขาอาชีพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น